ดอยอ่างขาง

เที่ยวไร่สตรอเบอรี่ ไร่ชา และสวนดอกไม้ฤดูหนาว ดอยอ่างขาง ม่อนแจ่ม 3 วัน 2 คืน

จังหวัดแรกในภาคเหนือที่คุณจะนึกถึงเมื่ออยากไปสัมผัสกับธรรมชาติและอากาศหนาวคือจังหวัดไหน? จังหวัดแรกของพวกเราคือ “เชียงใหม่” จังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวให้เลือกมากมายหลากหลายรูปแบบ เที่ยวเท่าไหร่ก็เที่ยวไม่ครบและเที่ยวได้ไม่มีเบื่อ จนกลายเป็นทริปประจำที่ต้องมาเยือนเชียงใหม่ให้ได้ทุกปี โดยครั้งนี้พวกเรามีเวลาทั้งหมด 3 วัน 2 คืน กับจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจสองแห่ง นั่นก็คือ ดอยอ่างขาง และ ม่อนแจ่ม ส่วนจะพาแฟนไปแอ่วที่ไหนได้บ้างนั้น ตามมาๆ

DAY 1

วันแรกที่เราไปถึงมีสายฝนโปรยปรายลงมาเป็นระยะ ประกอบกับอากาศที่หนาวเย็น ทำให้รู้สึกหนาวแบบชื้นๆ แต่ก็รู้สึกดีต่อใจ

ดอยอ่างขาง การเดินทาง

การเดินทางในครั้งนี้พวกเราเช่ารถยนต์เอาไว้ล่วงหน้า แต่เช่ากระชั้นชิดไปหน่อยเลยเหลือแค่รถกระบะคันนี้ ที่ช่วยกันแดด กันฝน และกันหนาวให้กับพวกเราตลอดทั้งทริป

ดอยอ่างขาง การเดินทาง

ร้านเสน่ห์ดอยหลวง

เมื่อพร้อมแล้วจึงเริ่มออกเดินทาง โดยมีจุดหมายแรกคือการแวะทานข้าวกลางวันที่ร้านเสน่ห์ดอยหลวง ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมถนนเส้นเลี่ยงเมือง อ.เชียงดาว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ช.ม 30 นาที

ร้านเสน่ห์ดอยหลวง

บรรยากาศของร้านตกแต่งแบบล้านนา หากมาร้านนี้ในช่วงที่ท้องฟ้าเปิดจะสามารถเห็นวิวของดอยหลวงเชียงดาวได้ด้วยนะ

ร้านเสน่ห์ดอยหลวง
ร้านเสน่ห์ดอยหลวง

ทานเสร็จก็ออกเดินทางต่อท่ามกลางสายฝนที่โปร่ยปราย จากอ.เชียงดาวสามารถเดินทางต่อไปยัง ดอยอ่างขาง ได้ 2 เส้นทาง โดยเส้นทางแรก (เส้นสีเทา) คือ อ.เชียงดาว – อ.ฝาง ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร มีเส้นทางขึ้นเขาช่วงสุดท้ายประมาณ 5 กิโลเมตรที่ค่อนข้างชันถึงชันมาก ไม่เหมาะกับคนที่ขับรถไม่แข็งและไม่ชำนาญเส้นทาง โดยเฉพาะใช้ช่วงที่ฝนตกหรือมีหมอกหนา

ดอยอ่างขาง การเดินทาง

เส้นทางที่ 2 (เส้นสีฟ้า) คือ อ.เชียงดาว – บ้านอรุโณทัย ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร เส้นทางนี้ไม่ชันแต่โค้งค่อนข้างเยอะ สำหรับเราเลือกเส้นทางที่สองเพราะเส้นทางนี้ขับง่ายและวิวสองข้างทางก็สวยมาก

ดอยอ่างขาง การเดินทาง

ประมาณช่วง 20 กิโลเมตรสุดท้ายจะเป็นทางขึ้นเขา ซึ่งวันนั้นหมอกลงหนามาก ยิ่งขึ้นสูงหมอกก็ยิ่งหนา บางช่วงสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้แค่ระยะประมาณ 3 เมตร ค่อนข้างอันตรายมาก ใช้ความเร็วได้แค่ประมาณ 20-40 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น

ดอยอ่างขาง การเดินทาง

รีสอร์ทธรรมชาติอ่างขาง

ปกติจากเชียงดาวมาอ่างขางใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่วันนั้นเราใช้ไป 2 ชั่วโมงครึ่ง สุดท้ายก็มาถึงที่พักได้อย่างปลอดภัย โดยคืนแรกเราพักกันที่ “รีสอร์ทธรรมชาติอ่างขาง”

ดอยอ่างขาง ที่พัก

หลังจากเช็คอินเข้าที่พักและเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราขับรถออกไปหาข้าวเย็นกินแถวหน้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก โดยเลือกร้านถิง ถิง โภชนา ที่มีเมนูแนะนำอย่างขาหมู หมั่นโถวยูนนาน

ถิง ถิง โภชนา

และเห็ดหอมอบซีอิ้ว

ถิง ถิง โภชนา

จิบชาร้อนๆ

ถิง ถิง โภชนา

กินเสร็จก็ออกมาเดินย่อยดูของอีกนิดหน่อย ร้านค้าส่วนใหญ่ก็เริ่มจะปิด เพราะคนไม่ค่อยเยอะและอากาศหนาว

ถิง ถิง โภชนา

นี่คือห้องพักของพวกเราในคืนนี้ ห้องกว้างมาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พื้นปูด้วยพรม (ยกเว้นบริเวณหน้าห้องน้ำ)

ดอยอ่างขาง ที่พัก

และไฮไลด์ที่สำคัญที่ทำให้พวกเราเลือกพักที่นี่ ก็คือ เจ้าเตียงอุ่นๆ ปรับระดับอุณหภูมิได้ นอนอุ่นหลับสบายตลอดทั้งคืน จนไม่อยากจะลุกออกจากเตียงไปไหน เหมาะกับคนขี้หนาวอย่างพวกเราสองคนมาก

ดอยอ่างขาง ที่พัก

ส่วนห้องน้ำเป็นที่ที่ไม่ค่อยอยากจะมาสักเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะมันเย็นมากกกกก (ก.ไก่ล้านตัว) อุ่นอยู่แค่สองอย่างคือ เครื่องทำน้ำอุ่นกับไดร์เป่าผม นอกนั้นเย็นหมด แม้แต่ฝาชักโครกที่เย็นจนนั่งไม่ได้ต้องยองๆฉี่ แต่ดีที่โรงแรมมีรองเท้าแตะแบบผ้าให้ใส่เดินไปมาในห้องได้ค่อยอุ่นเท้าหน่อย

ดอยอ่างขาง ที่พัก

DAY 2

เช้าวันต่อมาตั้งใจว่าจะไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือทะเลหมอกที่จุดชมวิวม่อนสน แต่พอไปถึงบรรยากาศด้านบนกลับเต็มไปด้วยหมอก มองไม่เห็นพระอาทิตย์แม้แต่น้อย ได้แต่แหวกว่ายไปมาอยู่ในสายหมอก แต่ก็สวยไปอีกแบบ

จุดชมวิวม่อนสน

นั่งรอพระอาทิตย์อยู่เกือบชั่วโมง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าหมอกจะสงบ เลยกลับมากินอาหารเช้าที่โรงแรม

ดอยอ่างขาง ที่พัก

ห้องอาหารจะอยู่ด้านข้างของ Lobby มีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor

ดอยอ่างขาง ที่พัก

ตอนแรกพวกเรานั่งด้านนอก เพราะบรรยากาศดีและวิวสวย แต่สู้กับละอองหมอกไม่ไหวเลยย้ายไปนั่งข้างในแทน

ดอยอ่างขาง ที่พัก

อาหารมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบมาตรฐานโรงแรมทั่วไป แต่ที่แตกต่างน่าจะเป็นพวกผักและผลไม้สดๆที่นำมาจากโครงการหลวง กินแล้วรู้สึกได้ถึงความสด โดยเฉพาะเมนูกระหล่ำปลีผัดน้ำปลาที่สดและกรอบมาก

ดอยอ่างขาง ที่พัก
ดอยอ่างขาง ที่พัก
ดอยอ่างขาง ที่พัก
ดอยอ่างขาง ที่พัก

อีกอย่างที่ชอบคือขนมปังปิ้งที่มีแยมรสชาติต่างๆให้เลือกเยอะมาก อย่างสตรอเบอรี่ ลำใย ลิ้นจี่ กีวี่ หรือลูกพีช ชอบที่สุดคือลำใย

ดอยอ่างขาง ที่พัก

หลังจากกินเสร็จพวกเราออกไปเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆโรงแรม มีต้นดอกซากุระกำลังออกดอกเบ่งบานอวดความงามอยู่หลายต้นแถวหน้าห้องพัก

ดอยอ่างขาง ที่พัก

ละอองหมอกยามเช้าค่อนข้างหนา ดอกซากุระเลยเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ มีนกตัวเล็กๆบินมากินน้ำหวานกันอย่างคึกคัก

ดอยอ่างขาง ที่พัก

เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า เช็คเอาท์ แล้วออกเดินทางต่อไปยังไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล

ดอยอ่างขาง ที่พัก

ไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล

ขับรถฝ่าสายหมอกมาเรื่อยๆ ไม่นานก็มาถึงไร่สตรอเบอรี่ รูปนี้ถ่ายจากวิวด้านหลังลานจอดรถ

ดอยอ่างขาง ที่เที่ยว

สายหมอกเริ่มจางลงจนสามารถมองเห็นแปลงสตรอเบอรี่ ไปถ่ายรูปเล่นกันเถอะ

ไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล
ดอยอ่างขาง ที่เที่ยว

ที่นี่ชาวบ้านอนุญาตให้สามารถลงมาถ่ายรูปเล่นในแปลงสตรอเบอรี่ได้ประมาณ 5 ชั้นจนถึงเขตรั้วที่ชาวบ้านกันเอาไว้

ไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล
ดอยอ่างขาง ที่เที่ยว
ไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล
ดอยอ่างขาง ที่เที่ยว

และห้ามแอบเก็บสตรอเบอรี่ก่อนได้รับอนุญาต แต่ก็ไม่มีให้เก็บหรอก เพราะชาวบ้านเก็บไปส่งให้โครงการหลวงหมดแล้วตั้งแต่เช้ามืด จะเหลือก็แต่ลูกเล็กๆที่ยังไม่โตเต็มที่หรือดอกของมัน

ไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล
ดอยอ่างขาง ที่เที่ยว

และที่สำคัญต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพราะช่องทางเดินแคบและลื่นมาก เดี๋ยวจะล้มไปทับแปลงปลูกของชาวบ้านเสียหายเอาได้

ไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล

ถ่ายรูปเล่นอยู่สักพัก ลมก็พัดสายหมอกกลุ่มใหญ่มาปกคลุมแปลงสตรอเบอรี่อีกครั้งจนมองอะไรไม่เห็น พวกเราจึงขอเข้ามาหลบในบ้านของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ และอุดหนุนสินค้าหัตธกรรมฝีมือของชาวบ้านกลับไปเป็นของที่ระลึก

ดอยอ่างขาง ที่เที่ยว

ตามทางเดินเต็มไปด้วยเจ้าไส้เดือนตัวใหญ่ยักษ์ กระดึบไปมา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะไปไหนกันแน่ เดี๋ยวก็เดินหน้า เดี๋ยวก็ถอยหลัง บางตัวโคตรโชคร้ายโดนรถทับตายคาที่ น่าสงสารสุดๆ

ไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล

รูปน้องล่อสองตัวนี้ตากลมเป็นคนถ่ายระหว่างทางกลับจากไร่สตรอเบอรี่ เปิดกระจกออกมากดถ่ายแค่หนึ่งทีล่อก็วิ่งหนีเข้าป่าไป เธอเลยรู้สึกภูมิใจกับภาพนี้มากเป็นพิเศษที่สามารถถ่ายได้ทันก่อนที่มันจะวิ่งหนีไป

ไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล

หมู่บ้านขอบด้ง

จากไร่สตรอเบอรี่ขับย้อนกลับมาทางเดิมเล็กน้อย แล้วเลี้ยวเข้าไปยังหมู่บ้านขอบด้ง ขับไปจอดที่โรงเรียนหน้าร้านเส้นศิลป์ ร้านขายของฝากและของที่ระลึก งานหัตธกรรมชนเผ่าฝีมือนักเรียน เพื่อนำรายได้ไปเป็นทุนการศึกษา

หมู่บ้านขอบด้ง

สินค้าส่วนใหญ่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติอย่างหญ้าอิบูแค หญ้าศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชนเผ่าลาหู่นะที่ช่วยคุ้มครองจากภัยอันตราย โดยนำมาทำเป็นเครื่องประดับ เช่น กำไลข้อมือ สร้อยคอ ปิ่นปักผม หรือพวงกุญแจ

หมู่บ้านขอบด้ง

หมู่บ้านขอบด้งเป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอก แต่วันนี้หมอกมาเยอะไปหน่อยเลยมองไม่ค่อยเห็นอะไรสักเท่าไหร่

หมู่บ้านขอบด้ง

อากาศก็หนาว กลับบ้านไปนอนดีกว่า น้องหมาได้กล่าวไว้

หมู่บ้านขอบด้ง
หมู่บ้านขอบด้ง

ไร่ชา 2000

จากหมู่บ้านขอบด้งก็มาต่อกันที่ไร่ชา 2000

ดอยอ่างขาง

ไร่ชา 2000 เป็นอีกหนึ่งจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปทะเลหมอกบางๆลอยตัวเหนือแปลงปลูกชา แต่วันนี้หมอกลอยไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว

ดอยอ่างขาง

ที่นี่บรรยากาศดี อากาศบริสุทธิ์ วิวก็สวย แต่ที่จอดรถน้อยไปหน่อย แถมเป็นทางตัน ต้องขับย้อนกลับทางเดิม และถนนค่อนข้างแคบ ถ้าเป็นช่วงเทศกาลน่าจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ แนะนำให้จอดที่โรงคัดแยกชา แล้วเดินลงมาจะดีที่สุด

ดอยอ่างขาง

จากไร่ชาพวกเราขับกลับมาหาข้าวกินแถวหน้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และไปจบที่ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ

ดอยอ่างขาง

สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง

ทานเสร็จก็ขับรถเข้าไปข้างในสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง

ดอยอ่างขาง

แวะจุดแรกแถวๆลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ชาวบ้านพาน้องล่อมาให้นักท่องเที่ยวขี่ชมบรรยากาศ แถมด้านข้างมีสวนบ๊วยด้วยนะ

ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง

จุดต่อมาคือ สวน 80 หรือ สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา สวนที่รวบรวมและจัดแสดงพันธุ์ไม้และดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายสายพันธุ์ให้ได้เยี่ยมชมและถ่ายรูปกันอย่างจุใจ

ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง

โดยเฉพาะต้นซากุระจากประเทศญี่ปุ่นและไต้หวันที่กำลังออกดอกเบ่งบานมาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมและจะบานไปจนถึงเดือนมกราคม

ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง

ตรงข้ามกับสวน 80 มีร้านค้าโครงการหลวง ซึ่งเป็นจุดจำหน่ายของฝาก ของที่ระลึก และผลผลิตที่รับมาจากชาวบ้าน

ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง

สตรอเบอรี่สดๆจากไร่ของชาวบ้านบางส่วนก็ถูกส่งมาขายที่นี่

ดอยอ่างขาง

“กาแฟสักแก้ว โปสการ์ดสักใบ ถึงใครสักคน” คือสโลแกนของร้านนี้

ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง

จุดต่อมาคือแปลงรวบรวมพันธุ์บ๊วย

ดอยอ่างขาง

ช่วงระหว่างเดือน ธ.ค – ม.ค เป็นช่วงที่บ๊วยกำลังออกดอกเหมาะแก่การมาถ่ายรูป

ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง

และจุดสุดท้ายสำหรับสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง คือ แปลงปลูกกระหล่ำประดับ

ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง
ดอยอ่างขาง

แปลงกุหลาบ

ดอยอ่างขาง

และร้านขายของฝากที่อยู่ติดกัน

ดอยอ่างขาง

จากนั้นพวกเราก็รีบออกเดินทางต่อ เพื่อย้อนกลับไปนอนค้างที่ม่อนแจ่ม ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 162 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง

Hmong Hilltribe Lodge

ม้ง ฮิลไทร์ป ลอจ์ด รีสอร์ท (Hmong Hilltribe Lodge)

โดยคืนนี้พวกเรามาพักกันที่ ม้ง ฮิลไทร์ป ลอจ์ด รีสอร์ท (Hmong Hilltribe Lodge) ซึ่งอยู่ใกล้กับม่อนแจ่ม จุดท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่

Hmong Hilltribe Lodge

ช่วงประมาณ 2 ทุ่มของทุกวัน หลังอิ่มหน่ำจากอาหารเย็น ทางโรงแรมได้มีการจัดการแสดงศิลปวัฒนธรรม การละเล่น และการจำลองวิถีชีวิตของชนเผ่าม้ง ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆที่พัก เพื่อต้อนรับแขกผู้มาเข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้

Hmong Hilltribe Lodge

ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลด์ที่สำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ ขอขอบคุณรูปภาพจาก : www.hmonghilltribeLodge.com

Hmong Hilltribe Lodge

สำหรับห้องพักทั้งหมดของที่นี่จะออกแบบสไตล์หมู่บ้านม้งผสมลอฟท์ ตกแต่งภายนอกด้วยวัสดุธรรมชาติ อย่างไม้ไผ่สานบุทับฝาผนังปูน หรือหลังคาที่ทำจากหญ้าแฝก และใช้แสงไฟโทนส้มให้ความรู้สึกอบอุ่น

Hmong Hilltribe Lodge

ด้านในจะมีโถงขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง และแบ่งออกเป็นอีก 4 ห้องย่อยๆ หลังที่พวกเราพักจะมีห้องแบบ Superior 3 ห้อง และแบบ Deluxe 1 ห้อง

Hmong Hilltribe Lodge

ห้องที่พวกเราพักเป็นแบบ Superior มีเตียงนอน 2 เตียง ตกแต่งด้วยผ้าคลุมเตียงและผ้าม่านทอจากฝ้ายลวดลายม้ง

สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพัก ได้แก่ พัดลม, เครื่องทำความร้อน, อุปกรณ์ชงชา-กาแฟ, หม้อต้มน้ำร้อน และตู้เย็น

Hmong Hilltribe Lodge

แต่จะไม่มีเครื่องปรับอากาศ เพราะที่นี่อากาศจะหนาวเย็นตลอดทั้งปี และไม่มีทีวีกับไวไฟ เพราะอยากให้ผู้เข้าพักได้อยู่กับธรรมชาติในบรรยากาศที่เงียบสงบอย่างเต็มที สำหรับไวไฟจะมีที่บริเวณห้องอาหาร

Hmong Hilltribe Lodge

มีผ้าห่มเพิ่มให้พิเศษอีกสองผืน ซึ่งได้ใช้งานจริงๆเพราะอากาศหนาวมาก ห่มสองผืนอุ่นสบายกำลังดี

Hmong Hilltribe Lodge

ส่วนโซนห้องน้ำ มีการแยกห้องอาบน้ำ อ่างล้างหน้า และห้องส้วมออกจากกันอย่างชัดเจน

Hmong Hilltribe Lodge

ห้องอาบน้ำเป็นฝักบัวแบบน้ำฝน พร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น และมีเจลอาบน้ำและแชมพูจัดเตรียมไว้ให้

Hmong Hilltribe Lodge

ตรงข้ามกับห้องอาบน้ำเป็นห้องส้วม

Hmong Hilltribe Lodge

DAY 3

เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาพร้อมกับอากาศที่สดชื่น เย็นสบายกำลังดี ท่ามกลางธรรมชาติที่เขียวขจี

Hmong Hilltribe Lodge

เมื่อมีแสงสว่างจึงทำให้รู้ว่าพวกเรากำลังพักอยู่ท่ามกลางขุนเขาที่มีสายหมอกบางๆพัดผ่าน และรายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่

Hmong Hilltribe Lodge

สำหรับโซนที่พวกเราพักจะมีบ้านหลังใหญ่ทั้งหมด 3 หลัง ตรงกลางมีลานกว้าง พร้อมที่นั่งและกองไฟ ให้ออกมานั่งผิงไฟ นั่งเล่นพูดคุยกันได้อย่างอบอุ่น

Hmong Hilltribe Lodge

อากาศและบรรยากาศดีดีแบบนี้ เหมาะแก่การตื่นเช้าออกไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธ์เป็นอย่างมาก ออกไปสำรวจที่พักกัน ตามมาๆ

Hmong Hilltribe Lodge

ห้องอาหารของที่นี่จะมีทั้งหมด 2 โซน โดยโซนแรกจะเป็นแบบ Indoor สำหรับอาหารเช้า หรืออาหารเย็นในวันที่ฝกตกหรือหมอกลงจัด

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

โซนที่สองจะเป็นแบบ Outdoor ใกล้กับสระว่ายน้ำและบาร์ มีวิวด้านข้างเป็นแปลงนาขั้นบันไดและทิวเขา สำหรับอาหารเย็น

Hmong Hilltribe Lodge

มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมแปลงนาขั้นบันไดและภูเขา

Hmong Hilltribe Lodge

มีเตียงไม้ให้สามารถมานั่งชิวชมวิวได้อย่างเพลิดเพลินจนไม่อยากจะลุกออกไปไหน

ถ้าไม่ติดว่าอากาศหนาวก็ว่าจะลงไปว่ายน้ำเล่นสักหน่อย

ถัดจากสระว่ายน้ำจะเป็นโซนห้องพักแบบ Standard ซึ่งมีอยู่ประมาณ 6-7 หลัง แต่ละหลังมีห้องพักด้านใน 4 ห้อง

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

พอดีบ้านหลังที่อยู่ริมสุดติดกับแปลงนาขั้นบันไดว่าง เราเลยขออนุญาตพนักงานเข้าไปสำรวจด้านใน เพื่อเอามาฝากท่านผู้ชมสักหน่อย

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

ทุกห้องจะมีระเบียงส่วนตัวยื่นออกมา และมีเก้าอี้ไม้ไผ่ให้นั่งเล่น

Hmong Hilltribe Lodge

ตรงนี้เป็นประตูทางเข้าหลักของบ้าน

Hmong Hilltribe Lodge

เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็จะพบกับโถงขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นห้องนั่งเล่น ตรงกลางมีกองไฟและช่องระบายอากาศอยู่ด้านบน

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

เหมาะสำหรับคนที่มาเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่ต้องการพื้นที่สังสรรค์ส่วนตัว

Hmong Hilltribe Lodge

การตกแต่งภายในห้องจะเหมือนกับห้องแบบ Superior และ Deluxe แต่ขนาดของห้องจะเล็กกว่า

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

โคมไฟใส่หมวกม้งด้วยนะ น่ารักดี

Hmong Hilltribe Lodge

เราชอบห้องนี้ เพราะตรงหัวเตียงมีหน้าต่างที่สามารถมองออกไปเห็นวิวภูเขาและแปลงนาขั้นบันได

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

สิ่งอำนวยความสะดวกมีเหมือนกับห้องแบบอื่นๆ

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

ห้องน้ำแยกพื้นที่อ่างล้างหน้า ห้องอาบน้ำ และห้องส้วมอย่างชัดเจน แต่พื้นที่จะเล็กกว่าห้องแบบอื่นๆ

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

เดินเล่นสักพักเริ่มหิว เลยมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร มีเมนูอาหารให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

เมนูที่เราชอบที่สุดก็คือ ข้าวต้มไก่ในหม้อดินเผา อุ่นร้อนๆ น้ำซุปรสชาติเข้มข้น

Hmong Hilltribe Lodge
Hmong Hilltribe Lodge

ทานอาหารเสร็จก็กลับมาเก็บของเตรียมเช็คเอาท์ และขอแวะเข้าไปสำรวจห้องแบบ Deluxe ที่อยู่ติดกันกับห้องของพวกเรา

Hmong Hilltribe Lodge

ห้องกว้างและอลังการมาก ภายในห้องพักเป็นเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ 1 เตียง

Hmong Hilltribe Lodge

ตกแต่งสไตล์ม้งเหมือนกับห้องแบบอื่นๆ

Hmong Hilltribe Lodge

มีเตียงเล็กๆ และระเบียงด้านนอกให้นั่งเล่น

Hmong Hilltribe Lodge

มีสิ่งอำนวยความครบครัน (ยกเว้นทีวี ไวไฟ และเครื่องปรับอากาศ)

ห้องน้ำกว้างและแยกส่วนใช้สอยอย่างชัดเจน

พวกเราเห็นตรงกันว่าชอบที่นี่มาก เพราะด้วยบรรยากาศของรีสอร์ทที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ การตกแต่งที่อบอุ่น พนักงานเป็นกันเอง และที่สำคัญคือเงียบสงบเป็นส่วนตัวมากๆ เหมาะกับการมาพักผ่อนและตัดขาดจากโลกภายนอกที่แสนวุ่นวายได้เป็นอย่างดี

หลังจากเก็บของและเช็คเอาท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงออกเดินทางต่อไปยังม่อนตะวันและม่อนแจ่ม ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักออกไปประมาณ 4 กิโลเมตร

Hmong Hilltribe Lodge

ม่อนตะวัน

ขับรถขึ้นมาชมวิวบนม่อนตะวันเป็นจุดแรก ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายโมง แต่หมอกยังเยอะอยู่เลย บรรยากาศดีมากๆ

ม่อนตะวัน
ม่อนตะวัน
ม่อนตะวัน
ม่อนตะวัน
ม่อนตะวัน

ม่อนแจ่ม

ถ่ายรูปเพลินจนตากลมเริ่มหิว เลยพาไปกินข้าวกลางวันที่ม่อนแจ่ม โดยจอดรถไว้ด้านล่างแล้วเดินขึ้นมาอีกประมาณ 500 เมตร

ม่อนแจ่ม

บริเวณด้านบนม่อนแจ่มจะมีร้านอาหารของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยคอยให้บริการนักท่องเที่ยว โดยมีที่นั่งทานอาหารให้เลือกสองแบบ แบบแรกจะเป็นโต๊ะยาวเรียงติดกันอยู่ด้านบน บริเวณตัวอาคารของร้านอาหาร

ม่อนแจ่ม

ส่วนแบบที่สองจะเป็นกระต๊อบไม้เป็นหลัง ตั้งเรียงกันอยู่ริมหน้าผา ด้านหน้าเป็นวิวทิวเขาและทะเลหมอก แต่วันนี้หมอกลอยตัวสูงเลยขาวโพนไปหมดจนมองไม่เห็นอะไรเลย

ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่ม

การสั่งอาหารจะต้องขึ้นไปสั่งด้านบน และจะมีพนักงานตามลงมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ระหว่างที่รอมีเจ้าถิ่นมาคอยต้อนรับ

ม่อนแจ่ม

และขยับมานอนหลับบนตักพวกเราเฉยเลย สงสัยจะหนาวเลยมาหาที่อุ่นๆนอน

ม่อนแจ่ม

อาหารมีตั้งแต่ราคาหลักสิบจนถึงหลักร้อย พวกเราสั่งกับข้าวมา 3 อย่าง ข้าวเปล่า 2 จาน และน้ำดื่ม หมดไปประมาณ 300 กว่าบาท

ม่อนแจ่ม

พอเติมพลังเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปเดินถ่ายรูปเล่นกันต่อ

ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่ม
ม่อนแจ่ม

พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมง และเดินทางกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่

ม่อนแจ่ม
แผนที่

อ่างแก้ว มช.

และแวะเข้าไปนั่งเล่นชมวิวย้อนความหลังสมัยตอนจีบกันใหม่ๆที่อ่างแก้ว ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อ่างแก้ว มช.

สุกี้ช้างเผือก

ก่อนจะพาตากลมไปทานอาหารเย็นที่ร้านโปรดของเธอ ร้านสุกี้ช้างเผือก สาขาหลัง มช. ร้านที่เธออ้อนให้พามากินทุกครั้งที่มาเที่ยวเชียงใหม่

สุกี้ช้างเผือก

กับเมนูสุกี้แห้ง เพิ่มวุ้นเส้นเยอะๆ เมนูโปรดของเธอ เห็นตัวเล็กๆแบบนี้แต่จุมาก เคยสั่งมากินคนเดียว 2 ชาม

สุกี้ช้างเผือก

หลังจากกินอิ่มพวกเราก็รีบบึ่งไปที่สนามบิน เพื่อคืนรถและเช็คอินท์ ช่วงวันหยุดผู้โดยสารเยอะมาก รถก็ติดเกือบตกเครื่องเลยทีเดียว แต่สุดท้ายก็เดินทางถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับความประทับใจ ถึงแม้ว่าเชียงใหม่จะไม่ใหม่สำหรับพวกเรา แต่ก็เที่ยวได้ไม่มีเบื่อ เพราะพวกเราตกหลุมรักเชียงใหม่เข้าให้แล้ว

แผนที่

เส้นทางดอยอ่างขาง – ม่อนแจ่ม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางสุดโรแมนติกที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ เหมาะที่จะพาแฟนไปพักผ่อน ถ่ายรูปกับเหล่าดอกไม้ และสัมผัสอากาศหนาว โดยสามารถเที่ยวได้ในระยะเวลา 3 วัน 2 คืน


สรุปรายละเอียดการเดินทาง ดังนี้

DAY 1

  1. เดินทางถึงสนามบินเชียงใหม่
  2. เช่ารถยนต์และเดินทางไปยัง ดอยอ่างขาง ระยะทางประมาณ 160 กม. ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง (ไม่รวมแวะพัก) โดยสามารถไปได้ 2 เส้นทาง คือ เชียงใหม่ – อ.เชียงดาว – อ.ฝาง และ เชียงใหม่ – อ.เชียงดาว – บ้านอรุโณทัย ทั้งสองเส้นทางมีระยะทางพอๆกัน แต่แนะนำให้ไปเส้นบ้านอรุโณทัย เพราะทางไม่ชันและขับง่ายกว่า
  3. คืนแรกพักที่ “รีสอร์ทธรรมชาติอ่างขาง” (Highlight : เตียงอุ่น ปรับอุณหภูมิได้)
  4. อาหารเย็นร้านถิงถิงโภชนา (Highlight : ขาหมูหมั่นโถว เห็ดหอมอบซีอิ้ว)
  5. ถนนคนเดิน ดอยอ่างขาง (Highlight : นมสดร้อน)

DAY 2

  1. ชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่จุดชมวิวม่อนสน (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ)
  2. ไร่สตรอเบอรี่บ้านนอแล
  3. ไร่ชา 2000
  4. สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง (Highlight ชมดอกซากุระที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา และชมแปลงรวบรวมพันธุ์บ๊วย)
  5. เดินทางกลับมายังม่อนแจ่ม
  6. คืนที่สองพักที่ “ม้ง ฮิลไทร์ป ลอจ์ด รีสอร์ท” (Highlight : บรรยากาศเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติ และการแสดงพื้นเมืองของชาวม้ง)

DAY 3

  1. ชมวิวทะเลหมอกที่ม่อนตะวัน
  2. ทานข้าวกลางวันบนม่อนแจ่ม (Highlight : นั่งทานในกระต๊อบริมหน้าผา)
  3. ชมวิวและถ่ายรูปเล่นบนม่อนแจ่ม (Highlight : แปลงดอกป๊อบปี้)
  4. เดินทางกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่
  5. แวะนั่งเล่นอ่างแก้ว มช.
  6. อาหารเย็นที่ร้านสุกี้ช้างเผือก สาขาหลัง มช. (Highlight : สุกี้แห้ง)
  7. สนามบินเชียงใหม่ และเดินทางกลับ

ช่วงเวลาเดินทาง : 16 – 18 ธันวาคม 2559


คิ้วหนา & ตากลม
Love is a journey | เพราะความรัก คือ การเดินทาง…

RELATED POSTS