อุทัยธานี

แอ่วเมืองพระชนกจักรี อุทัยธานี เพราะมันดีต่อใจ ไม่ใช่แค่ทางผ่าน 3 วัน 2 คืน

อุทัยธานี เป็นจังหวัดในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดที่มักจะถูกมองว่าเป็นแค่ทางผ่านไปยังภาคเหนือตอนบนหรือลงมายังภาคกลาง จังหวัดที่ใครหลายคนเลือกไว้เป็น Dream Destination อันดับท้ายๆ เพราะคิดว่าจังหวัดนี้ไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจ แต่พวกเราไม่ปักใจเชื่อแบบนั้น จึงขอออกไปพิสูจน์ ออกไปสัมผัสให้รู้ด้วยตัวของเราเอง ส่วนจะเป็นอย่างไรและดีต่อใจแค่ไหนนั้น ตามมาๆ

“อุทัยธานี เมืองพระชนกจักรี ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว ส้มโอบ้านน้ำตก มรดกโลกห้วยขาแข้ง แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดังโคกระบือ” – คำขวัญประจำจังหวัดอุทัยธานี

DAY 1

พวกเราเริ่มต้นออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง โดยที่ไม่ได้นั่งเครื่องบิน เพราะจังหวัดอุทัยธานียังไม่มีสนามบิน แค่มารับรถยนต์เช่าของบริษัท Thai Rent A Car ที่จองเอาไว้ล่วงหน้า ผ่านทางเว็บไซด์หรือ Call Center ก็ได้สะดวกมากๆ โดยเคาร์เตอร์ให้บริการรับรถจะอยู่ที่ชั้น 1 ของอาคารผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ (Terminal 2) บริเวณประตูทางออก

Thai Rent A Car

จากนั้นก็แจ้งชื่อการจอง พร้อมยื่นใบขับขี่และบัตรเคดิตให้กับพนักงาน พนักงานจะนำเอกสารการจองมาให้ตรวจสอบข้อมูลและล็อควงเงินในบัตรเคดิตเอาไว้ชั่วคราว เพื่อเป็นวงเงินประกันในการเช่าและคืนกลับให้หลังจากคืนรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็พาพวกเราเดินไปที่รถเพื่อตรวจสอบร่องรอยขีดข่วนรอบรถร่วมกัน เพื่อพิสูจน์ว่ารอยนั้นมีมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงค่อยเซ็นต์รับรถ ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีก็เสร็จเรียบร้อย

Thai Rent A Car

อุทัยธานี

จังหวัดอุทัยธานีอยู่ห่างจากกรุงเทพประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง สามารถเดินทางไปได้ด้วยรถสาธารณะหรือรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้น สำหรับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวและอยากแวะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆอย่างอิสระ แนะนำให้เช่ารถจะสะดวกที่สุด

Thai Rent A Car

เมื่อพร้อมแล้วจึงเริ่มออกเดินทาง ระหว่างทางมีฝนตกสลับแดดออก โดยแวะทานอาหารเที่ยงกันแถวๆจังหวัดอยุธยา เป็นเมนูง่ายๆอย่างก๋วยเตี๋ยวเรือและขนมถ้วย

อุทัยธานี

บ้านอิงน้ำ รีสอร์ท

ขับตรงยาวมาตามป้ายบอกทางบนถนนสายเอเซีย จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้ามายังตัวเมืองอุทัยธานี โดยแวะเข้าไปเช็คอินท์และเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าที่บ้านอิงน้ำ รีสอร์ท ที่พักของพวกเราในคืนนี้

อุทัยธานี ที่พัก

รีสอร์ทตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง มีห้องพักให้เลือก 2 แบบ คือ ห้องเรือนแพ และห้องพักแบบปกติบนบก ราคาเริ่มต้นที่ 800 บาท

อุทัยธานี ที่พัก

สำหรับห้องเรือนแพจะมีแค่ 2 ห้องเท่านั้น ห้องด้านซ้ายจะมีแอร์ ราคา 1,200 บาท ส่วนห้องด้านขวาจะเป็นพัดลม ราคา 800 บาท

อุทัยธานี ที่พัก

สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องจะมีทีวีและตู้เย็นให้ แต่ไม่มี WiFi (มี WiFi เฉพาะห้องแบบปกติบนบก)

อุทัยธานี ที่พัก

มีห้องน้ำภายในตัวที่ค่อนข้างกว้าง ประกอบด้วยอ่างล้างหน้า โถส้วม และฝักบัวอาบน้ำ แต่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น (ห้องแบบปกติบนบกมีเครื่องทำน้ำอุ่น)

อุทัยธานี ที่พัก

หุบป่าตาด

หลังจากเช็คอินท์และพักผ่อนสักพักจนหายเมื่อย ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังหุบป่าตาด อ.ลานสัก ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองอุทัยธานีออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

หุบป่าตาด อุทัยธานี

ถ้ำหุบป่าตาดค้นพบโดยพระครูสันติธรรมโกศล (หลวงพ่อทองหยด) เจ้าอาวาสวัดถ้ำทอง เมื่อปี พ.ศ. 2522 โดยการปีนลงไปด้านในของหุบเขา

หุบป่าตาด อุทัยธานี

และได้มีการระเบิดเจาะอุโมงค์เพื่อเป็นทางเข้าไปสู่หุบป่าตาดในปี พ.ศ. 2527 เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว

หุบป่าตาด อุทัยธานี

เส้นทางที่ถูกเจาะเพื่อทะลุเข้าไปด้านในหุบยาวประมาณ 100 เมตร พื้นขรุขระและมืดมาก ต้องใช้ไฟฉายที่ได้รับมาตอนซื้อตั๋วเข้าชม ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางทะลุมิติไปยังดินแดนลึกลับ โดยมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์คอยให้การต้อนรับ

หุบป่าตาด อุทัยธานี

เมื่อทะลุออกมาแล้วก็จะพบกับหุบขนาดใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิดอยู่ท่ามกลางเขาหินปูนที่สูงชัน

หุบป่าตาด อุทัยธานี

จากนั้นจะต้องเดินตามบันไดปูนที่มีราวจับ เพื่อลงไปยังด้านล่างของหุบ ที่มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ

หุบป่าตาด อุทัยธานี

บริเวณด้านในร่มรื่นและค่อนข้างชื้น มีก้อนหินน้อยใหญ่เรียงรายอยู่ตลอดทาง ต้นไม้ส่วนใหญ่ในหุบนี้คือ ต้นตาด ซึ่งจัดเป็นไม้ตระกูลเดียวกับปาล์ม

หุบป่าตาด อุทัยธานี

บริเวณตรงกลางของหุบมีถ้ำเล็กๆที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม และสามารถเดินทะลุไปอีกฝั่งของหุบได้

หุบป่าตาด อุทัยธานี

บรรยากาศเหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ที่มีไดโนเสาร์กำลังแอบมองอยู่ตามพุ่มไม้

หุบป่าตาด อุทัยธานี

มีการค้นพบกิ้งกือมังกรสีชมพู ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่และพบได้แห่งเดียวในโลก โดยจะออกมาให้เห็นแค่ช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน หรือในช่วงฤดูฝนของทุกปี

หุบป่าตาด อุทัยธานี

นอกจากกิ้งกือมังกรสีชมพูแล้ว ยังมีสัตว์หายากอีก 2 ชนิดที่อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ นั่นก็คือ เลียงผาและเต่าเหลือง เลียงผาจะพบเห็นตัวเป็นๆได้ยากมาก สามารถพบเห็นได้แค่รอยเท้าที่ทิ้งเอาไว้บนพื้นดิน ส่วนเต่าเหลืองยังพอที่จะพบเจอได้บ้าง

หุบป่าตาด อุทัยธานี

อย่างเจ้ามินเนี่ยน (ชื่อที่เราตั้งให้) เต่าเหลืองที่กระดองไม่ค่อยเหลืองตัวนี้ ที่เจออยู่ข้างทางเดิน เป็นเต่าบกที่หากินอยู่ภายในหุบแห่งนี้

หุบป่าตาด อุทัยธานี

พวกเราเดินวนชมธรรมชาติจนครบ 1 รอบ จึงกลับออกมาด้านนอก หุบป่าตาดเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวหุบป่าตาดคือ 11:00-13:00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท

หุบป่าตาด อุทัยธานี

และสามารถขอมัคคุเทศน์น้อยให้ช่วยนำทางและอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับหุบแห่งนี้ได้ ค่าจ้างแล้วแต่จะให้ โดยนำเงินมาใส่ในกล่องส่วนกลาง พอสิ้นวันจะนำเงินมารวมกันและหารด้วยจำนวนของมัคคุเทศน์น้อยที่มาช่วยงานในวันนั้น เพื่อเป็นทุนการศึกษา

หุบป่าตาด อุทัยธานี

นอกจากหุบป่าตาด ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจซึ่งอยู่ใกล้กัน นั่นก็คือ เขาปลาร้า ที่มีภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์อายุประมาณ 3,000 ปี เป็นลายเส้นสีแดงและสีดำตลอดแนวยาว 9 เมตร ประมาณ 40 ภาพ แสดงให้เห็นถึงสภาพชีวิตการรวมกลุ่มเป็นสังคมของมนุษย์ยุคโบราณ โดยใช้เวลาเดินขึ้นเขาไปกลับประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง หากสนใจแนะนำให้เผื่อเวลาสักครึ่งวัน (รูปด้านล่างเป็นตัวอย่างภาพที่จัดแสดงอยู่หน้าทางเข้าหุบป่าตาด)

หุบป่าตาด อุทัยธานี

วัดสังกัสรัตนคีรี

จากหุบป่าตาดพวกเราขับกลับมายังตัวเมืองอุทัยธานี เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินบนเขาสะแกกรัง โดยสามารถขึ้นได้สองวิธี คือ ขับรถขึ้นไป กับเดินขึ้นบันไดจำนวน 449 ขั้นของวัดสังกัสรัตนคีรี ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานประเพณีตักบาตรเทโว

เขาสะแกกรัง อุทัยธานี

พวกเราขับรถขึ้นมาทางด้านข้างของสนามกีฬาจังหวัด มาถึงข้างบนประมาณ 6 โมงเย็น วันนี้มีเมฆค่อนข้างมากมาบดบังพระอาทิตย์เลยได้เห็นแค่แสงสีส้มอมชมพูกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า

เขาสะแกกรัง อุทัยธานี

ด้านทิศตะวันตกของเขาสะแกกรังจะเป็นวิวพระอาทิตย์ตกดิน ส่วนด้านทิศตะวันออกจะเป็นวิวตัวเมืองอุทัยธานี

เขาสะแกกรัง อุทัยธานี

ด้านบนมีศาสนสถานสำคัญหลายแห่งให้ได้เข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษสถานอยู่ภายใน

เขาสะแกกรัง อุทัยธานี

อาทิเช่น รอยพระพุทธบาทจำลองที่ประดิษฐานอยู่ใน มณฑปสิริมหามายากุฎาคาร ซึ่งจำลองให้เป็นสถานที่ประทับของพระนางสิริมหามายาเมื่อไปบังเกิดบนเทวโลก

เขาสะแกกรัง อุทัยธานี

และพระราชานุสาวรีย์พระชนกจักรี พระชนกาธิบดีในรัชกาลที่ 1

เขาสะแกกรัง อุทัยธานี

ประดิษฐานในพลับพลาจัตุรมุข

เขาสะแกกรัง

ถนนคนเดินตรอกโรงยา

จากนั้นก็ขับกลับลงมาจากเขาสะแกกรัง เพื่อไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินตรอกโรงยาหรือเซ็กเกี๋ยกั้ง ย่านชุมชนชาวจีนเก่าแก่ของจังหวัดอุทัยธานี

ถนนคนเดินตรอกโรงยา

ถนนคนเดินของที่นี่มีทุกเย็นวันเสาร์ ตั้งแต่บ่าย 3 โมง จนถึง 3 ทุ่ม

ถนนคนเดินตรอกโรงยา

พวกเราไปถึงได้ไม่นาน ก็มีฝนโปรยปรายลงมาเบาๆ พ่อค้าแม่ค้าจึงเริ่มทยอยเก็บร้าน เราจึงแวะเข้าไปหลบฝนและเยี่ยมชมด้านในของบ้านนกเขา

บ้านนกเขา

บ้านที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อนที่เก็บสะสมมาตั้งแต่อดีต ให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมและถ่ายรูปได้ฟรี ของชิ้นไหนที่ไม่รู้จักก็สามารถสอบถามกับคุณลุงและคุณป้าเจ้าของบ้านได้ ใจดีมากๆ

บ้านนกเขา

นอกจากข้าวของเครื่องใช้ก็ยังมีรูปภาพเก่าๆบอกเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของเมืองอุทัยธานีให้ได้ชม

บ้านนกเขา
บ้านนกเขา
บ้านนกเขา

ไม่นานนักฝนก็เริ่มตกหนักขึ้น พวกเราเองก็หิวหนักมาก จึงวิ่งข้ามถนนมาที่ร้านหน่อยข้าวต้มกุ๊ย ฝั่งตรงข้ามกับบ้านนกเขา

ร้านหน่อยข้าวต้มกุ๊ย
ร้านหน่อยข้าวต้มกุ๊ย

มีเมนูให้เลือกมากมาย แถมราคาไม่แพง

ร้านหน่อยข้าวต้มกุ๊ย
ร้านหน่อยข้าวต้มกุ๊ย

พวกเราสั่งกับข้าวมาสามอย่าง มีปลาช่อนลวกจิ้ม ผัดผักบุ้งไฟแดง ยำกุนเชียง และข้าวต้มคนละถ้วย

ร้านหน่อยข้าวต้มกุ๊ย

กับข้าวอร่อยทุกอย่าง กินกับข้าวต้มร้อนๆตอนฝนกำลังตก ได้บรรยากาศมาก

ร้านหน่อยข้าวต้มกุ๊ย

ร้านครูออฟ ผ้าไทย

พอใกล้จะอิ่มฝนก็หยุดตก จึงพากันเดินมาที่ร้านครูออฟ ผ้าไทย ใกล้กับถนนคนเดิน ร้านที่ตากลมหมายตาเอาไว้ตั้งแต่มาถึงที่นี่ เพราะเธอเป็นคนที่ชอบผ้าไทยมาก โดยเฉพาะผ้านุ่งท้องถิ่นลวดลายต่างๆ

ร้านครูออฟ ผ้าไทย

พ่อค้าร้านนี้ใจดีและเป็นกันเองมาก หยิบเสื้อและผ้านุ่งแบบต่างๆมาให้เลือกให้ลองหลายผืนมาก บางผืนราคาหลักหมื่นก็ยังหยิบออกมาให้ลอง เหมือนพี่กับน้องกำลังแอบเอาเสื้อผ้าของแม่มาลองใส่เล่น สนุกกันใหญ่ทั้งพ่อค้าและลูกค้า สุดท้ายตากลมก็อดใจไม่ไหว ได้ผ้านุ่งมา 3 ผืน และเสื้ออีก 1 ตัว

ร้านครูออฟ ผ้าไทย

หลังจากช๊อปปิ้งจนตัวเบา พวกเราขับรถไปแวะชมวิวตอนกลางคืนริมแม่น้ำสะแกกรัง ตรงข้ามกับวัดอุโปสถาราม

ริมแม่น้ำสะแกกรัง

ใกล้ๆกันมีร้านลูกชิ้นและไส้กรอกปิ้งร้อนๆดูน่ากิน เลยจัดมาคนละไม้สองไม้รองท้องก่อนนอน น้ำจิ้มเด็ดมาก

ลูกชิ้นปิ้ง

DAY 2

เช้าวันรุ่งขึ้นเราขอยืมจักยานจากที่พัก เพื่อปั่นมาชมวิถีชีวิตยามเช้าของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเรือนแพ และชมบรรยากาศของตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเพียงแค่ 1 กิโลเมตรเท่านั้น

ริมแม่น้ำสะแกกรัง

ชุมชนเรือนแพริมแม่น้ำสะแกกรัง

ชุมชนเรือนแพริมแม่น้ำสะแกกรัง ถือว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวัดอุทัยธานี ที่อยู่คู่กับแม่น้ำสายนี้มาอย่างยาวนาน

ริมแม่น้ำสะแกกรัง

แต่นับวันเรือนแพเหล่านี้จะค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ เพราะค่าวัสดุที่ใช้ในการซ่อมแซมค่อนข้างแพงและยากต่อการดูแลรักษา ชาวบ้านจึงเริ่มย้ายกันขึ้นมาอยู่บนฝั่งแทน

ริมแม่น้ำสะแกกรัง
ริมแม่น้ำสะแกกรัง

ลักษณะของเรือนแพจะมีให้เห็นทั้งแบบเรือนไม้ธรรมดาที่ไม่ได้ตกแต่งประดับประดาอะไรมากมาย

ริมแม่น้ำสะแกกรัง

และแบบเรือนไทยที่มีหน้าจั่วแหลมทรงมะลิลาหรือทรงปั้นหยา สร้างคร่อมบนแพลูกบวบไม้ไผ่ มีการทำพื้น ตั้งเสา ทำคาน คล้ายๆกับบ้านปกติที่อยู่บนบก

ริมแม่น้ำสะแกกรัง

ชาวเรือนแพส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพประมงน้ำจืด โดยใช้อุปกรณ์ดักปลารูปแบบต่างๆ และมีการเลี้ยงปลาในกระชัง เพื่อนำมารับประทานในครัวเรือนและส่งขายในตลาด

ริมแม่น้ำสะแกกรัง

บรรยากาศยามเช้าริมแม่น้ำสะแกกรังดำเนินไปอย่างช้าๆ ตามจังหวะการไหลของสายน้ำและสายลม

ริมแม่น้ำสะแกกรัง

ตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง

ตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรังเริ่มคึกคักมาตั้งแต่หัวรุ่ง

ตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง

มีทั้งของสดและอาหารสำเร็จรูปให้เลือกซื้อเลือกทานมากมาย

ตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง
ตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง

พอเริ่มสาย มีแสงแดดส่องลงมา ตลาดก็เริ่มวาย

ตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง
ริมแม่น้ำสะแกกรัง

เราซื้อขนมจากตลาดติดมือมาสองสามอย่าง และปั่นกลับมากินอาหารเช้าที่โรงแรม

บ้านอิงน้ำ รีสอร์ท

กินเสร็จก็มานั่งเล่นตากลมชมวิวริมแพอย่างชิลๆ

อุทัยธานี ที่พัก

เมื่อเธอทุกข์ใจ ให้ลองเอาเท้าจุ่มน้ำ – Jeep วัชราวลี

อุทัยธานี ที่พัก
อุทัยธานี ที่พัก
อุทัยธานี ที่พัก
อุทัยธานี ที่พัก

หลังจากเอาเท้าจุ่มน้ำจนสบายใจ ก็เก็บข้าวของและเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม และแวะไปถ่ายรูปที่ทุ่งนาผืนใหญ่ไม่ไกลจากที่พัก

อุทัยธานี

ทุ่งนาผืนใหญ่สีเขียวอมเหลือง แซมด้วยต้นตาล มีถนนสายเล็กๆอยู่ตรงกลาง ท่ามกลางท้องฟ้าใส มุมโปรดของเราเลย

อุทัยธานี

หากอยากไปตามรอย พิกัดตามนี้เลย : https://goo.gl/q0vCSD

อุทัยธานี

วัดอุโปสถาราม

จากทุ่งนาขับย้อนกลับมาที่ วัดอุโปสถาราม ซึ่งเดิมชื่อ “วัดโบสถ์มโนรมย์” แต่ชาวบ้านจะเรียกสั้นๆว่า “วัดโบสถ์” เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีพุทธศักราช 2324 ตั้งอยู่บนเกาะเทโพ ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง

วัดอุโปสถาราม

ด้านหน้ามีมณฑปแปดเหลี่ยม เป็นอาคารแปดเหลี่ยมสองชั้น มีบันไดวนอยู่ด้านนอกอาคาร ซุ้มหน้าต่างเป็นวงโค้งแบบอาคารในยุคอาณานิคม ลายปูนปั้นบนผนังด้านนอกเป็นภาพพระพุทธรูปปางถวายเนตร อยู่ท่ามกลางหงส์และนกกระสา

วัดอุโปสถาราม

สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2442 โดยหลวงพิทักษ์ภาษา (บุญเรือง พิทักษ์อรรณนพ) เพื่อถวายแด่พระสุนทรมุนี (จัน) หรือพระครูอุไททิศธรรม ซึ่งเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดและเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานีในสมัยรัชกาลที่ 5

วัดอุโปสถาราม
วัดอุโปสถาราม

ด้านหลังของพระอุโบสถและวิหาร มีเจดีย์ 3 องค์ องค์แรกทางทิศเหนือเป็นเจดีย์หกเหลี่ยมทรงอยุธยา องค์กลางเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองทรงรัตนโกสินทร์มีเจดีย์เล็ก 5 ยอด องค์ด้านทิศใต้เป็นเจดีย์ลอมฟางทรงสุโขทัย

วัดอุโปสถาราม

พระอุโบสถ (หลังซ้ายมือของรูปด้านบน) ด้านหน้ามีเจดีย์ทรงเหลี่ยมขนาดเล็กๆ อยู่ 4 องค์ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะสุโขทัยเป็นพระประธานอยู่ท่ามกลางพระพุทธรูปอีก 4 องค์บนฐานชุกชีเดียวกัน

วัดอุโปสถาราม

ผนังด้านในทั้งสี่ด้านของพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ ซึ่งมีความพิเศษ คือ ภาพกองทัพเหล่าพญามารที่มาขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า และแม่พระธรณีที่ผุดขึ้นมาแสดงปาฏิหาริย์ให้พญามารได้เห็นบุญบารมีของพระพุทธองค์ที่ทรงสั่งสมมาจนพญามารต้องยอมแพ้

วัดอุโปสถาราม

ด้านซ้ายของพระอุโบสถคือ วิหาร ภายในประดิษฐานพระประธานปางห้ามญาติ ด้านซ้ายและขวาของพระประธานประดิษฐานพระพุทธรูปยืนทำด้วยไม้แก่นจันทร์ ซึ่งมีฉัตรห้าชั้นประดับอยู่เหนือเศียร ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดเทพยดาบนสรวงสวรรค์ พิธีอสุภกรรมฐาน และภาพชุมนุมพระสงฆ์สาวกสลับพัดยศลายต่างๆ

วัดอุโปสถาราม

ด้านหน้าวิหารเป็นภาพพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า และภาพวิถีชีวิตของชาวบ้านที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา

วัดอุโปสถาราม

ร้านบะหมี่ฮ่องเต้

หลังจากเยี่ยมชมศาสนสถานของวัดอุโปสถารามเสร็จแล้ว ก็ขับไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ ต้นตำหรับบะหมี่ไข่ทำเอง

ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ ต้นตำหรับบะหมี่ไข่ทำเอง

จุดเด่นของร้านนี้ก็คือ เส้นบะหมี่ไข่ทำเอง สูตรพิเศษแบบดั้งเดิมจากมณฑลเสฉวนที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นยาวนานมากว่า 100 ปี

ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ ต้นตำหรับบะหมี่ไข่ทำเอง
ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ ต้นตำหรับบะหมี่ไข่ทำเอง

เส้นบะหมี่สดที่ผ่านกระบวนการผลิตและลวกอย่างพิถีพิถัน ทำให้เส้นบะหมี่ของที่นี่เหนียวและนุ่มเป็นพิเศษ

ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ ต้นตำหรับบะหมี่ไข่ทำเอง

ทานคู่กับหมูแดงสูตรดั้งเดิม หรือหมูย่างสูตรพิเศษ และน้ำซุปรสชาติเข้มข้น อร่อยจนต้องเอ่ยปากบอกว่า “ขอเบิ้ลอีกชาม”

ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ ต้นตำหรับบะหมี่ไข่ทำเอง

บรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยของเล่นและของสะสมเก่า

ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ ต้นตำหรับบะหมี่ไข่ทำเอง

ร้านกาแฟ บ้านจงรัก

พอท้องอิ่ม ก็ไปหาเครื่องดื่มเย็นๆกินกันต่อที่ร้านกาแฟ บ้านจงรัก ริมถนนศรีอุทัย (เส้นศาลากลางจังหวัด)

บ้านจงรัก
บ้านจงรัก

ร้านกาแฟสดที่ตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้และของสะสม อย่างโมเดลตัวละครจากการ์ตูนยอดนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในตู้กระจกหลังใหญ่

บ้านจงรัก
บ้านจงรัก

ด้านบนของร้านเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์บ้านคุณตาหลวงเพชรสงคราม ยกกระบัตรเมืองอุทัยธานี สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นทวดของแม่ของลุงตุ้มเจ้าของบ้าน จึงมีการตั้งชื่อเพื่อเป็นที่ระลึกถึงท่าน

บ้านจงรัก

จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวและรูปภาพเก่าๆ ที่เก็บสะสมมาตั้งแต่รุ่นทวด

บ้านจงรัก
บ้านจงรัก

ถัดจากห้องโถงจะเป็นห้องนอน โดยมีเครื่องเรือนตั้งแต่สมัยที่พ่อกับแม่ของลุงตุ้มแต่งงานกัน เมื่อปีพ.ศ 2494 จัดเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และยังคงสภาพเหมือนใหม่อยู่เสมอ

บ้านจงรัก

ภายในห้องมีโต๊ะเครื่องแป้งบานหูช้าง ถ้ายืนตรงกลางจะสามารถมองเห็นทรงผมทั้งซ้าย ขวา และหลังได้ ออกแบบได้เจ๋งมาก

บ้านจงรัก

ด้านหลังของบ้านมีทางเชื่อมไปยังบ้านทรงเรือนไทย เป็นเรือนที่ทวดยกให้ยายของลุงตุ้มตอนออกเรือนแต่งงาน ซึ่งมีอายุร้อยกว่าปี

บ้านจงรัก
บ้านจงรัก

ด้านในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และรูปภาพเก่า ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางย้อนเวลากลับไปในอดีตอีกครั้ง

บ้านจงรัก
บ้านจงรัก
บ้านจงรัก

เครื่องครัวถูกจัดวางอย่างถูกที่ถูกทาง เหมือนกับว่ายังคงมีการใช้งานอยู่เป็นประจำทุกวัน สิ่งของหลายอย่างเราเองก็เคยใช้เมื่อตอนเด็กๆ พอได้เห็นอีกครั้งก็ทำให้ภาพแห่งความทรงจำย้อนกลับคืนมา

บ้านจงรัก
บ้านจงรัก

ลุงตุ้มบอกว่าผูกพันธ์กับบ้านหลังนี้มาก เพราะเกิดและโตมากับบ้านหลังนี้ จึงเป็นคนดูแลรักษาบ้านหลังนี้มาจนถึงปัจจุบัน

บ้านจงรัก
บ้านจงรัก
บ้านจงรัก
บ้านจงรัก

ที่นี่เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 07.30 น. – 17.00 น. และหากลุงตุ้มว่างก็จะเป็นคนพาขึ้นมาเยี่ยมชมด้านบน พร้อมกับเล่าเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของรูปภาพและข้าวของต่างๆของบ้านหลังนี้ด้วยตนเอง คุณลุงใจดีและเป็นกันเองมากๆ

บ้านจงรัก

สุขโข ไฮโดรฟาร์ม

เสร็จจากการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และชิมเครื่องดื่มเย็นๆของบ้านจงรัก พวกเราไปเยี่ยมชมแปลงผักไฮโดรโปนิกส์ปลอดสารพิษที่ สุขโข ไฮโดรฟาร์ม เป็นที่สุดท้ายของทริปนี้ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับร้านกาแฟบ้านจงรัก

สุขโข ไฮโดรฟาร์ม

แปลงผักไฮโดรโปนิกส์ที่ปลูกและดูแลอย่างพิถีพิถัน ภายในโรงเรือนที่ควบคุมความเข้มของแสงและป้องกันแมลงรบกวน

สุขโข ไฮโดรฟาร์ม

ทำให้ผักของที่นี่ดูสด สะอาด และน่ารับประทานมาก สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ทานคู่กับน้ำสลัด

สุขโข ไฮโดรฟาร์ม

หากสนใจเข้ามาเยี่ยมชมหรือซื้อกลับไปเป็นของฝาก สามารถติดต่อสอบถามได้โดยตรงที่เฟสบุ๊คของ สุขโข ไฮโดรฟาร์ม

สุขโข ไฮโดรฟาร์ม

จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าตรงยาวเข้ากรุงเทพ เพื่อเอารถกลับไปคืนที่สนามบินดอนเมือง เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางของทริปพาแฟนไปชมเมืองพระชนกจักรี อุทัยธานี เพราะมันดีต่อใจ ด้วยระยะเวลา 2 วัน 1 คืน ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของพวกเราทั้งสองคนที่ได้ใช้ไปอย่างคุ้มค่ามากกับสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนของจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดที่มักจะถูกมองว่าเป็นแค่ทางผ่าน

แต่ครั้งนี้พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจังหวัดอุทัยธานีเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ครบทุกรสชาติของการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วิถีชีวิต และวัฒนธรรม ผู้คนมีอัธยาศัยดีและเป็นกันเอง เป็นจังหวัดที่ไม่ควรปล่อยให้เป็นเพียงแค่ทางผ่านอีกต่อไป เพราะมันดีต่อใจมาก ดังนั้น ถ้าหากพอมีเวลาว่างสักสองสามวัน อยากให้ลองมาสัมผัสกับจังหวัดอุทัยธานีให้เพิ่มมากขึ้นด้วยตัวคุณเอง

สุขโข ไฮโดรฟาร์ม

สรุปรายละเอียดการเดินทาง ดังนี้

DAY 1

  1. ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ด้วยรถยนต์เช่าของ Thai Rent A Car
  2. แวะทานก๋วยเตี๋ยวเรือและขนมถ้วยแถวจังหวัดอยุธยา
  3. เช็คอินท์เข้าที่พักที่ บ้านอิงน้ำ รีสอร์ท ติดแม่น้ำสะแกกรัง
  4. เที่ยวชมหุบป่าตาด ป่าดึกดำบรรพ์กลางหุบเขาหินปูน
  5. เที่ยวชมภาพเขียนโบราณ เขาปลาร้า (แนะนำเพิ่มเติม หากมีเวลาเหลือประมาณครึ่งวัน)
  6. เขาสะแกกรัง
    • สักการะรอยพระพุทธบาทจำลองและพระราชานุสาวรีย์พระชนกจักรี
    • ชมวิวเมือง อุทัยธานี และพระอาทิตย์ตกดินบนยอดเขาสะแกกรัง
  7. เดินเล่นถนนคนเดินตรอกโรงยาหรือเซ็กเกี๋ยกั้ง (เปิดทุกวันเสาร์)
    • แวะเยี่ยมชมและถ่ายรูปที่บ้านนกเขา
    • กินข้าวต้มกุ๊ยที่ร้านหน่อย
    • เลือกซื้อผ้าไทยที่ร้านครูออฟผ้าไทย

DAY 2

  1. ปั่นจักยานชมวิถีชีวิตยามเช้าของชาวเรือนแพ และแวะเดินเล่นตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง
  2. เช็คเอาท์ออกจากที่พัก และแวะถ่ายรูปที่ทุ่งนาผืนใหญ่กลางเกาะเทโพ
  3. แวะเที่ยวชมวัดอุโปสถาราม วัดเก่าแก่ของจังหวัดอุทัยธานี
  4. ทานมื้อเที่ยงที่ร้านบะหมี่ฮ่องเต้ บะหมี่ไข่ทำเองสูตรพิเศษ
  5. จิบเครื่องดื่มเย็นๆที่ ร้านกาแฟบ้านจงรัก และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านคุณตาหลวงเพชรสงคราม (เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 07.30 น. – 17.00 น.)
  6. เยี่ยมชมแปลงผักไฮโดรโปนิกส์ปลอดสารพิษที่ สุขโข ไฮโดรฟาร์ม
  7. วัดจันทราราม หรือ วัดท่าซุง (แนะนำเพิ่มเติม) แวะสักการะพระพุทธชินราช และหลวงพ่อฤๅษีลิงดำในวิหารแก้ว (วิหารปิด 5 โมงเย็น)
  8. เดินทางกลับกรุงเทพฯ และคืนรถที่สนามบินดอนเมือง

ช่วงเวลาเดินทาง : 18 – 19 มีนาคม 2560


สรุปรายละเอียดค่าใช้จ่าย ดังนี้

  1. ค่าเช่ารถยนต์วันละ 550 บาท (ราคาโปรโมชั่น) จำนวน 2 วัน รวม 1,100 บาท
  2. ค่าน้ำมันไปกลับ (ก่อนเช่ามีให้เต็มถัง ก่อนคืนเติมคืนเต็มถัง) 1,000 บาท
  3. ค่าห้องพักบ้านอิงน้ำ รีสอร์ท 1 คืน 1,200 บาท (รวมอาหารเช้า)
  4. ค่าเข้าชมหุบป่าตาด คนละ 20 บาท สองคน 40 บาท
  5. ค่ากินและช๊อปปิ้ง : ตามอัธยาศัย

รวมค่าใช้จ่าย 2 วัน 1 คืน ทั้งหมด 3,340 บาท ตกคนละ 1,670 บาท


คิ้วหนา & ตากลม
Love is a journey | เพราะความรัก คือ การเดินทาง…

RELATED POSTS